:::     :::

เป้าหมายสุดท้าย

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2565 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
958
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก หมายความว่าโอกาสลุ้นความสำเร็จในซีซั่นนี้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หมดลงไปแล้ว และมันกลายเป็นปีที่ 5 ที่สโมสรต้องไร้แชมป์ติดมือ

ความผิดหวังปกคุลม โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้ง บรรยากาศอึมครึมรายล้อมสโมสร เพราะมันคืออีกปีที่ทีมจะไม่เจอกับความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม

ย้อนกลับไปในเกมเมื่อวันอังคาร หากจะบอกว่า ปิศาจแดง ทำได้ดีก็คงไม่ใช่คำกล่าวเกินเลยอะไร เพราะลูกทีม ราล์ฟ รังนิก เดินหน้ากดดัน แอตเลติโก มาดริด ได้น้ำได้เนื้อและดูมีชีวิตชีวา 

โดยเฉพาะจังหวะชาร์จเน้นๆ ของ แอนโธนี่ เอลังก้า ที่บอลไปโดนศีรษะ ยาน โอบลัค อย่างน่าเสียดาย

พลังงานและความมุ่งมั่นแสดงออกมาจากการเล่นของนักเตะ ทุกๆ คนดูมีมุ่งมั่นในการเล่นงาน ตราหมี เพราะหากปล่อยให้เกมยืดเยื้อไปอาจจะมีภัยเข้าตัว ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ทาง ผีแดง จะครองบอลและพยายามกดดันทีมเยือน แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้ แถมท้ายครึ่งแรกเริ่มมีสัญญาณแจ้งเตือนดังขึ้น

เริ่มจากจังหวะล้ำหน้าของ ชูเอา เฟลิกซ์ ที่สอยตาข่ายในนาที 34 ซึ่งถือเป็นการเตือนไปยังแนวรับเจ้าบ้านครั้งแรกว่าหากปล่อยโอกาสหรือเหม่อลอยเมื่อไหร่ก็มีสิทธิ์โดนเมื่อนั้น

และแล้วสิ่งที่แฟนบอลปิศาจแดง ซึ่งอาจจะร่วมไปถึง รังนิก ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เป็นจริงจนได้ เมื่อทีมเป็นฝ่ายตามหลังในช่วงก่อนหมดครึ่งแรกไม่กี่นาที




ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โมเมนตัมเทไปหาฝั่ง แอตเลติโก มาดริด อย่างชัดเจน และยังเป็นจังหวะที่เกิดข้อถกเถียงกันอย่างมากเพราะนักเตะ ปิศาจแดง มองว่า เอลังก้า โดนทำฟาวล์ก่อนจะเสียบอล

ในมุม แมนฯ ยูไนเต็ด ย่อมไม่แปลกที่ทุกๆ คนจะเดือดดาลพร้อมพุ่งเป้าไปหา สลาฟโก้ วินชิช ผู้ตัดสินในนัดดังกล่าว ที่โดนเพ่งเล็งว่าเอนเอียงไปทาง ตราหมี ในหลายจังหวะ 

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะนอกจากจังหวะที่ ผีแดง เสียประตูยังมีการตัดสินหลายๆ ครั้งที่ดูจะค้านสายตาแฟนเจ้าถิ่น ไหนจะการทำหน้าที่ที่มักจะโดนทีมเยือนตบตา หรือจังหวะที่ควรฟาวล์แต่ดันไม่ให้ จึงเป็นที่มาถึงข้อถกเถียงหลังจบเกมนัดล่าสุด

ฝั่ง รังนิก ยังคงยืนยันชัดเจนว่าหากมองในมุมของตนเอง อย่างไรเสียประตูแรกของ ตราหมี ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมันคือจังหวะที่ทีมของนเองต้องได้ฟาวล์ในแดนคู่แข่ง

นั่นคือเรื่องราวที่มีการถกเถียงกัน แต่หากมาวิเคราะห์หรือพิจารณาจังหวะโดนประตูชัย ก็ต้องยอมรับว่าการป้องกันของทีมผิดพลาดที่ให้พื้นในการสวนกลับ โดยเฉพาะแนวรับโดนแนวรุกฝ่ายตรงข้ามดึงตัวขึ้นมาจนเสียพื้นที่ และที่สำคัญคือการจ่ายตอกส้นของ ชูเอา เฟลิกซ์ ได้สร้างพื้นที่ให้ อองตวน กรีซมันน์ เปิดไปเสาไกลได้อย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น ก่อนจะจบด้วยการโขกของ เรนาน โลดี้

ลูกดังกล่าวแนวรับ ปิศาจแดง ต้องรับเต็มๆ รวมไปถึงแดนกลางที่ไม่สามารถช่วยเบรกเกมได้ ซึ่งสองนักเตะที่โดนเพ่งเล็งหนีไม่พ้น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ ดีโอโล ดาโลต์





กรณีของ แม็กไกวร์ ที่เสียตำแหน่งเพราะต้องไล่ตาม กรีซมันน์ ที่ลงไปเชื่อมบอล ส่งผลให้ ดาโลต์ ต้องหุบมาประจำการตรงกลางแทน แม้หลังจากนั้นกัปตันผีแดงจะกลับมาตรงพื้นที่รับผิดชอบแต่ก็สายไปแล้วเพราะบอลโดนเปิดไปเสาไกลตรงพื้นที่ว่าง 

จุดนี้เป็นความรับผิดชอบของแนวรับอย่างแน่นอน แต่จะว่าไปก็ต้องโทษการป้องโดยรวมของทีม เพราะมันต้องมีตัวตามวิงแบ็กของฝ่ายตรงข้ามที่สอดทะลุเข้าเขตโทษไปด้วย (ไม่ว่าจะแดนกลางหรือปีกอย่าง เอลังก้า ที่ตอนนั้นก็คงหงุดหงิดที่ไม่ได้ฟาวล์จนลืมตามกลับมาลงป้องกัน)

ถือเป็นการป้องกันที่ผิดพลาดซึ่งส่งผลต่อรูปเกมหลังจากนั้น เพราะมันทำให้ ตราหมี เล่นตามที่พวกเขาต้องการคือการดึงเกมให้ช้า คอยทำลายจังหวะคู่แข่ง และเล่นงานด้วยการสวนกลับ

สำหรับทีมเยือนไม่สำคัญว่าพวกเขาจะครองบอลมากน้อยเพียงใด ขอเพียงโอกาสเดียวที่จะขึ้นนำ (ซึ่งสำเร็จในช่วงท้ายครึ่งแรก) และหลังจากนั้นพวกเขาก็พร้อมเล่นแบบ 'สกปรก' ตามที่หลายๆ คนวิจารณ์ 

นั่นคือบอลในรูปแบบเน้นผลของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ที่เห็นมานักต่อนักในเกมสำคัญๆ โดยเฉพาะนัดที่ต้องมาเยือน หลายๆ ทีมเคยโดนและพบประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วว่ามันน่าหงุดหงิดรำคาญแค่ไหน แต่ 'เอล โชโล่' ไม่สนเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลการแข่งขัน

สิ้นเสียงนกหวีดพร้อมรอยยิ้มของนักเตะ แอตเลติโก มาดริด ผิดกับแข้งผีแดงที่สีหน้าบบอกอาการได้ชัดเจนถึงความผิดหวัง

ณ วินาทีนั้นหมายถึงสโมสรต้องร้างแชมป์ต่อไปเป็นปีที่ 5 เสียงวิจารณ์รวมไปถึงเสียงซุบซิบนินทาลอยดังมาจากทุกสารทิศ ซึ่งมันคือความเป็นจริงที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องผ่านไปให้ได้





เป้าหมายสุดท้ายที่เหลืออยู่มีเพียงการลุ้นติดอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก และมันหมายถึงโควตาไปเตะ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า ซึ่งนั่นคืองานหนักที่รออยู่หลังจากนี้

สถานการณ์ล่าสุดหลังจบเกมลีกนัดตกค้างเมื่อคืนวันพุธ ปิศาจแดง รั้งที่ 5 ตามหลัง อาร์เซน่อล อันดับ 4 คะแนนเดียว แต่ว่า ปืนใหญ่ ยังมีเกมในมืออยู่ 2 นัด นอกจากนั้น สเปอร์ส ที่เพิ่งบุกชนะ ไบรท์ตัน ในเกมตกค้างทำแต้มไล่หลังมาเหลือ 2 คะแนน แถมยังมีเกมในมือ 1 นัดกับโอกาสในการแซงหน้าลูกทีม รังนิก ขึ้นไป

ยังมีอีกหนึ่งทีมที่อยู่ในข่ายนั่นคือ เวสต์แฮม โดยลูกทีม เดวิด มอยส์ รั้งที่ 6 เก็บไป 48 คะแนนจากการลงเล่น 29 เกมเท่ากับ ปิศาจแดง

9 นัดสำคัญต่อจากนี้ ทุกๆ คะแนนมีค่าอย่างมากเพื่อโอกาสในการไล่ล่าเป้าหมายสุดท้ายของซีซั่นนี้

แต่โปรแกรมต่อไปของ ผีแดง ต้องรอยาวไปจนถึงต้นเดือนเมษายน เนื่องจากคิวเตะเดิมที่จะดวล ลิเวอร์พูล สุดสัปดาห์นี้โดยเลื่อนออกไป เพราะทีม หงส์แดง มีคิวลงเล่นในเวที เอฟเอ คัพ 

หากมองในแง่ดีถือเป็นโอกาสในการหลบเลียแผลใจที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เพราะหากต้องเจอศึกหนักอีกครั้งหลังจากสภาพจิตใจเหลวแหลก ดีไม่ดีอาจจะช้ำเลือดช้ำหนองมากกว่าเดิม

เวลาพักประมาณครึ่งเดือนหลังจากนี้ (หวังว่า) จะเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งที่ให้ทีมกลับไปทบทวนถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา

โค้งสุดท้ายใกล้มาถึง และหากยังตุปัดตุเป๋เช่นนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ 'ท็อป 4' ดีไม่ดีอาจจะหลุดไปเล่น คอนเฟอเรนซ์ ลีก เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ หรือเลวร้ายที่สุดคือไม่ต้องได้โควตาไปไหนทั้งสิ้น



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด