16 มีนาคม 2012 สโมสรบาเซิ่ลลงอุ่นเครื่องกับทีมชาติอียิปต์ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี มันเป็นเรื่องที่แปลกตาพอสมควรในยุโรปที่สโมสรจะมาจัดเกมอุ่นแข่งกับทีมชาติ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เบิร์นฮาร์ด ฮิวสเลอร์ ประธานสโมสรบาเซิ่ล เปลี่ยนใจแต่อย่างใด นั่นก็เป็นเพราะว่า พวกเขากำลังอยากเช็กฟอร์ม 1 ในแข้งทีมชาติอียิปต์ที่กำลังจะลงอุ่นเครื่องกับพวกเขานั่นเอง ฮิวสเลอร์เล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังว่า
"ผมไม่มีวันลืมสิ่งที่ผมเห็นในเกมวันนั้นแน่นอน อากาศในวันนั้นเลวร้ายมาก มันหนาวเกินกว่าที่จะเล่นฟุตบอลด้วยซ้ำ แต่เขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม"
"ซาล่าห์ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเล่นในครึ่งเวลาหลัง ให้ตายเหอะ ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตผมยังไม่เคยเจอใครมีความเร็วเท่าเขาเลย"
ฟิลิปป์ เดเก้น อดีตกองหลังที่เคยค้าแข้งกับลิเวอร์พูล ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ลงสนามในเกมนั้นด้วย "นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักเขา" เดเก้น เล่าถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์
"ผมไม่อยากจะเชื่อเลย เขาสร้างปัญหาให้กับผมเป็นอย่างมาก โลกของฟุตบอลในตอนนี้ ถ้าคุณมีความเร็วในระดับที่พระเจ้าประทานมาให้ คุณก็เหมือนสมบัติล้ำค้าที่ประเมินราคาไม่ได้ดีดีนี่เอง ความเร็วเป็นสิ่งเดียวที่เหล่ากองหลังเราต่อให้เก่งขนาดไหนก็ยังจัดการกับมันไม่ได้ และซาล่าห์ก็มีสิ่งนั้น"
เกมอุ่นเครื่องในวันนั้นจบลงด้วยการที่ทีมชาติอียิปต์ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี เอาชนะบาเซิ่ลไปได้ 4-3 โดยโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ เหมาคนเดียว 2 ประตู ทั้งๆที่ลงเล่นแค่ 45 นาที เท่านั้น หลังจบเกมบาเซิ่ลไม่รีรอเลยที่จะเชิญชวนให้ซาล่าห์อยู่ซ้อมกับทีมต่อไปอีก 1 สัปดาห์ ไม่นานหลังจากนั้นซาล่าห์ก็ตกมาเป็นสมบัติของทีมบาเซิ่ลอย่างเป็นทางการด้วยสัญญา 4 ปีด้วยกัน
"ตอนมาที่นี่ใหม่ๆ เขายังไม่ได้เก่งแบบทุกวันนี้นะ เขามีความเร็วที่เหลือเชื่อ พวกเราแทบไม่ต้องคิดอะไรมาก จ่ายบอลไปพื้นที่ว่างข้างหน้าซาล่าห์ เดี๋ยวเขาก็วิ่งไปเอาบอลได้เอง แต่เวลาบอลอยู่ที่เท้าของเขา เขายังทำมันไม่ได้ไม่ดีพอ เขาต้องซ้อมให้มากกว่านี้ เท้าซ้ายของเขาวิเศษมาก หากเขาฝึกมันได้คล่องเมื่อไหร่ เมื่อนั้นอนาคตการค้าแข้งของเขาจะต้องไปได้ไกลแน่นอน" เดเก้น กล่าวถึงซาล่าห์ในวันแรกๆที่เข้ามาร่วมทีม
ฤดูกาลแรกของซาล่าห์กับบาเซิ่ล ซาล่าห์ยังเป็นแค่ตัวสำรองอยู่ ที่บาเซิ่ลไม่มีใครอยากที่จะเร่งรัดให้เขาไปไวจนเกินไป ตลอด 29 เกมที่ลงสนามให้กับทีม มีแค่ 10 เกมเท่านั้นที่ซาล่าห์อยู่ในสนามเกิน 1 ชั่วโมง แต่กระนั้นเขาก็ยังยิงได้ถึง 5 ประตูด้วยกันในบอลลีก และหากจะรวมทุกถ้วยที่บาเซิ่ลลงสนามในฤดูกาลนั้น ซาล่าห์ยิงได้ถึง 10 ประตู จากการลงสนามทั้งหมด 50 เกม ด้วยกัน
ฤดูกาลต่อมาของซาล่าห์บาเซิ่ล ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป ซาล่าห์เริ่มโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้น จนก้าวมาเป็นตัวจริงได้ในที่สุด และโลกก็ได้รู้จักชื่อของโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ หลังจากที่เขาทำประตูเชลซีได้ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
"ผมจำได้อย่างแม่นยำเลย บาเซิ่ลต้องเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กลุ่มเดียวกับเชลซี และก็เป็นซาล่าห์นี่แหละที่ยิงประตู 1-1 ตีเสมอเชลซีได้ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เกมนั้นเราพลิกล็อคบุกไปชนะได้ 2-1 ก่อนที่เกมต่อมาที่เชลซีมาเยือนพวกเรา ซาล่าห์จะทำประตูชัยให้กับทีมได้" เดเก้น รำลึกความหลัง
ไม่ใช่แค่เดเก้นคนเดียวที่จำเกมนี้ได้ ฮิวสเลอร์ ประธานสโมสรบาเซิ่ลเองก็ไม่เคยลืมเกมๆนี้เช่นกัน
"ซาล่าห์ คือ เหตุผลที่ทำให้เราชนะเชลซีได้ในวันนั้น พวกเราไปหาเขาที่ห้องแต่งตัวเพื่อที่จะแสดงความยินดีกับซาล่าห์ แต่ซาล่าห์ปฎิเสธที่จะรับมัน"
"ซาล่าห์บอกกับผมว่า ท่านประธานครับ มันไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก ผมมีโอกาสยิงเกมนี้ทั้งหมด 7 ครั้ง ... 6 ครั้งแรกมันไม่แม้แต่จะเข้ากรอบเลย ที่ผมกล้าที่จะยิงมันอีกครั้ง (จังหวะได้ประตู) ก็เพราะว่าความเชื่อมั่นที่ผู้จัดการทีม เหล่าสตาฟฟ์โค้ช และเพื่อนร่วมทีมมีให้กับผม ทำให้ประตูนี้เกิดขึ้น ผมได้ยินแล้วก็ได้แต่คิดว่า ให้ตายเถอะ เด็กคนนี้พูดได้ดีจริงๆ"
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ช่วงเวลาของซาล่าห์ที่เชลซี ไม่ประสบความสำเร็จ ที่บาเซิ่ลทุกคนคอยสนับสนุนซาล่าห์อยู่ตลอดเวลา ต่างกับที่เชลซี ภายใต้การคุมทีมของโจเซ่ มูรินโญ่ ที่มีแต่การแข่งขัน เมื่อคุณคว้าโอกาสไว้ไม่ได้ นั่นหมายความว่าคุณได้เสียมันไปเรียบร้อยแล้ว
การกลับมาโชว์ฟอร์มอันร้อนแรงของซาล่าห์ที่ลิเวอร์พูล ฟิลิปป์ เดเก้น เชื่อว่า เพราะที่ลิเวอร์พูลมีเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่คอยสนับสนุนและเชื่อใจโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ อยู่เสมอ
"ผมคิดว่าคล็อปป์ คือ เหตุผลว่าทำไมซาล่าห์ถึงโชว์เก่งอยู่เช่นทุกวันนี้ คล็อปป์เป็นนักกระตุ้นลูกทีมที่สุดยอด ปรัชญาฟุตบอลของเขามันก็ช่างเหมาะกับซาล่าห์เหลือเกิน คล็อปป์ชื่นชอบนักเตะที่มีความเร็ว และเขาก็กำลังพาซาล่าห์ไปในอีกระดับที่ซาล่าห์ไม่เคยไปได้มาก่อน"
เราเห็นซาล่าห์ในมุมในสนามมานักต่อนักแล้ว นอกสนามซาล่าห์ยังเป็นนักเตะที่น่ารัก และกตัญญูอีกด้วย ทุกวันนี้ซาล่าห์เองยังไม่เคยลืมบุญคุณของฮิวสเลอร์ ที่พาเขาทำตามความฝันได้มาค้าแข้งในดินแดนทวีปยุโรป
"ทุกวันนี้ผมกับซาล่าห์ยังส่งข้อความไปมากันเป็นประจำ ผมเองก็กำลังแพลนหาเวลาว่างที่จะไปดูเขาเล่นที่แอนฟิลด์" ฮิวสเลอร์ กล่าว
"ผมยกให้เขาเป็นโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ แห่งวงการลูกหนังเลย เขาไม่เคยลืมว่าตัวเขามาจากไหน อ่อนน้อมถ่อมตน และเคารพเพื่อนร่วมงานทุกคน ไม่แปลกใจเลยที่เขาและเฟดเดอเรอร์ต่างก็ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพของตัวเอง"
และนี่คือเรื่องของโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ชายผู้กำลังเป็นตำนานบทใหม่แห่งถิ่นแอนฟิลด์ ครับ
