สำหรับ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง พร้อมกับเป็นความหวังในแนวรุกของทีม หลังจากที่พลพรรค “สิงโตน้ำเงินคราม” ตัดสินใจปล่อยทั้ง โรเมลู ลูกากู และติโม แวร์เนอร์ ออกจากทีมไป โดยในวัย 33 ปี ประสบการณ์ของเขาน่าจะเข้ามาช่วยเหลือทีมได้ไม่มากก็น้อย
ช่วงนี้ เราลองย้อนไปดูเส้นทางลูกหนังของปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง กันหน่อย กว่าจะก้าวมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาต้องผ่านอะไรมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะการพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก ผ่านการเล่นกับหลายทีมดังระดับโลก
รวมถึงสิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ นั่นคือเขาเกือบเลิกเล่นฟุตบอลไปนานแล้ว
ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง คือชายเชื้อสายกาบอง ที่มาลืมตาดูโลกที่ลาวาล ประเทศฝรั่งเศส พ่อของเขาเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพ ที่ผ่านการเล่นในลีกแดนน้ำหอมมาอย่างโชกโชน และเคยก้าวไปเป็นกัปตันทีมชาติกาบอง แน่นอนว่า เขารับอิทธิพลในการเล่นฟุตบอลมาจากพ่อ
“พ่อคือนักฟุตบอลคนแรกที่ผมชื่นชอบ” โอบาเมยอง เริ่มเล่า “ผมดูพ่อในสนามครั้งแรก ช่วงที่ท่านเล่นให้กับเลอ อาฟร์ ผมรู้ทันทีว่าผมอยากเป็นนักเตะเหมือนท่าน จากนั้น ผมก็เตะบอลมาตลอด ด้วยลูกบอลพลาสติก พ่อของผมเป็นชาวกาบอง ถึงแม้ชีวิตของผมจะเกิด และเติบโตที่ฝรั่งเศส กระนั้น พ่อสอนผมหลายอย่างเกี่ยวกับกาบอง จนกลายเป็นวัฒนธรรมของผมไปแล้ว”
“ความจริงแล้ว ผมสามารถเลือกเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศส หรือสเปน (แม่ของเขาเป็นคนสเปน) ผมผ่านการเล่นกับทีมชาติฝรั่งเศส รุ่นยู-21 มาแล้ว แต่ภายในใจของผมมันเรียกร้องว่า ผมอยากเดินตามรอยเท้าของพ่อ นั่นคือการรับใช้ธงชาติกาบอง”
โอบาเมยอง ย้อนความทรงจำต่อว่า “ผมเคยเล่นให้กับทีมเยาวชนของนีซ, ลาวาล และรูอ็อง เป็นเรื่องยากเหมือนกัน ในการย้ายทีมไปตามสถานที่ต่างๆ เมื่อผมมองย้อนกลับไป ถือว่าผมได้รับประโยชน์มาก เพราะมันช่วยให้ผมปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว”
เขากล่าวถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เคยทำให้เกือบเลิกเล่นฟุตบอลว่า “ชีวิตวัยรุ่น ผมเล่นตำแหน่งปีก มากกว่าที่จะเป็นกองหน้า ด้วยความที่ผมเป็นเด็กที่วิ่งเร็ว อัตราการเร่งฝีเท้าของผมถือว่าเร็ว ทุกคนต่างบอกแบบนั้น”
“แต่เมื่อผมโตขึ้น อายุราว 15-16 ปี ผมก็ผ่อนความเร็วลง เพราะผมมีปัญหาบางอย่างที่หัวเข่า ส่งผลให้ผมไม่สามารถวิ่งในความเร็วที่เคยทำได้ ดังนั้น ผมจึงห่างจากฟุตบอลไปสักพัก ผมไม่มีสโมสร และไม่ได้เรียนหนังสือ ผมทำได้เพียงอยู่กับบ้าน พร้อมกับมองโลกในแง่บวกเข้าไว้”
“ช่วงเวลานั้น ถือเป็นอะไรที่ยากมาก ผมมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอล กระนั้น ผมยังคงฝึกซ้อมอยากหนักในทุกวัน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมรู้เพียงว่าต้องทำงานหนัก เพราะคุณไม่รู้หรอกว่า ชีวิตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ หลังจากทำแบบนั้นมาครึ่งปี พ่อของผมก็โทรมา และบอกว่า -ลูกพร้อมจะซ้อมกับสโมสรใหม่หรือไม่ ?-“
“ผมตอบทันทีว่าพร้อมแล้ว ผมรอมา 6 เดือนเพื่อคว้าโอกาสนั้น นั่นคือตอนที่ผมเริ่มต้นฝึกกับทีมบาสเตีย ถือเป็นจุดเริ่มต้นในเส้นทางลูกหนังของผมเลย เพียงไม่นาน ผมก็ได้ร่วมงานกับเอซี มิลาน ในช่วงปี 2007 ผมยังเด็กมาก ประสบการณ์ก็น้อย แต่ที่มิลาน ทำให้ผมเรียนรู้วิธีเป็นนักเตะอาชีพ”
ซึ่งชีวิตที่ค่าย “ปีศาจแดงดำ” ไม่ใช่เรื่องง่าย โอบาเมยอง ไม่ได้รับโอกาสลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ ในเกมอย่างเป็นทางการเลย เวลาส่วนมาก คือการถูกส่งกลับไปให้ทีมในฝรั่งเศส สลับกันยืมตัวไป ไม่ว่าจะเป็นดิฌง, ลีลล์ และโมนาโก ผลสุดท้ายเป็นแซงต์ เอเตียน ที่ซื้อขาดไปร่วมทีม
โอบาเมยอง บอกถึงช่วงชีวิตนั้น ผ่านการมองโลกในมุมบวกว่า “ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดี เวลานั้น เอซี มิลาน เต็มไปด้วยเหล่าผู้เล่นระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นมัลดินี่, เนสต้า, กาก้า, เซดอร์ฟ และโรนัลโด้ ผมค่อนข้างเป็นเด็กขี้อาย แต่ผมก็อยากดูสิ่งที่นักเตะระดับแนวหน้าลงมือทำ ผมได้เรียนรู้มากมายจากแนวทางนี้ แม้ว่าผมไม่เคยเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของเอซี มิลาน ก็ตาม”
“สุดท้าย ผมได้ย้ายมาร่วมทีมแซงต์ เอเตียน ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ผู้จัดการทีมให้ความมั่นใจกับผมมาก ผมเคยเล่นแบบยืมตัวมาโดยตลอด จากนั้น พวกเขาก็ซื้อผมมา ผมมีความสุขจริงๆ นี่เป็นตอนที่ผมบอกกับตัวเองว่า -เอาล่ะ ตอนนี้ฉันต้องพัฒนาตัวเอง และทำงานให้หนักกว่าเดิม- ผมทำตามแบบที่พูดเอาไว้จริงๆ”
“ผมคว้าแชมป์เฟร้นช์ ลีก คัพ กับแซงต์ เอเตียน เพียงไม่นาน ผมก็ย้ายทีมมาคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล และซูเปอร์ คัพ กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่ออาร์เซน่อล ติดต่อมา ผมก็ตื่นเต้นกับความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า” โอบาเมยอง ทิ้งท้ายถึงเส้นทางลูกหนังของตัวเอง
