:::     :::

ใช้ความผิดพลาดเป็นประสบการณ์

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,558
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แฟร้งค์ แลมพาร์ด เตรียมหวนคืนเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษอีกครั้งหลังจากที่ว่างงานมา 1 ปีเต็มนับตั้งแต่โดน เชลซี ปลดจากตำแหน่ง

         เอฟเวอร์ตัน คือสโมสรที่เตรียมให้โอกาสนายใหญ่วัย 43 ปีอีกครั้ง ซึ่งต้องบอกว่าเจ้าตัวยังถูกมองด้วยความสงสัยว่าดีพอหรือเปล่า?

         โทนี่ คาสคาริโน่ อดีตนักเตะของ "สิงห์บลูส์" มองว่า แลมพาร์ด เป็นกุนซือที่ "คาบช้อนเงินช้อนทอง" เพราะด้วยโปรไฟล์สมัยเป็นนักเตะที่เข้าขั้นระดับโลก หรือจะมีลุงอย่าง แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ที่เป็นแบ็กให้สมัยได้งานที่ ดาร์บี้ ล้วนได้แบบโดยไม่ต้องใช้ฝีมือเท่าไร

         โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ก้าวขึ้นมาคุมทีมในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ ถือเป็นการก้าวกระโดดที่น่าเหลือเชื่อ จากทีมกลางตารางของแชมเปี้ยนชิพกับภารกิจนำ เชลซี สู่ความยิ่งใหญ่


         แล้วก็อย่างที่เห็นสุดท้ายมันลงเอยด้วยการโดนไล่ออกจากตำแหน่งหลังคุมทีมราวหนึ่งปีครึ่ง แม้สถิติชนะ 44 เสมอ 17 แพ้ 23 จะไม่ได้เลวร้าย แต่กับ เชลซี ต้องบอกว่า "ไม่พอ"

         ยังมีเรื่องต้องพิสูจน์อีกเยอะทีเดียวว่าสำหรับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด, หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้โอกาสอีกครั้งที่ เอฟเวอร์ตัน ทั้งที่กับ เชลซี ต้องใช้คำว่าล้มเหลว

         ด้วยผลงานดังกล่าวรวมถึงเรื่องของแท็คติกที่ดูเหมือนยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึง "กึ๋น" ในการวางแผน ซึ่งหลายคนมองว่าที่เขาได้อนู่ในตำแหน่งนานขนาดนั้นได้เป็นเพราะคำว่า "ตำนาน" ของสโมสรทำให้มีความเกรงใจกันอยู่บ้าง


         การโดนปลดจากตำแหน่งกุนซือสิงโตแห่งกรุงลอนดอนถูกมองว่าถูกต้องแล้วเมื่อมองถึงเม็ดเงิน 220 ล้านปอนด์ที่ทีมจ่ายไปในซัมเมอร์ 2020 แต่ผลงานน่าผิดหวัง ขวัญและกำลังใจในห้องแต่งตัวก็ตกต่ำ

         แม้แฟนบอลบางส่วนจะมองว่าต้องใช้เวลาในการจูนแข้งแต่ละคนให้เข้ากัน แต่สุดท้าย บรูซ บัค และ มารีน่า กรานอฟสกาย้า ก็ตัดสินใจปลดจากตำแหน่ง และมันยิ่งแสดงให้เห็นว่าบอร์ดบริหารของทีมทำถูกเมื่อคนที่มาแทนอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล พาทีมประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม

         ปัญหาใหญ่ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด คือเกมรับของทีมที่เสียประตูเป็นว่าเล่น ในขณะที่ โธมัส ทูเคิ่ล ใช้ผู้เล่นชุดเดียวกันแต่กลับทำให้ทีมแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะการฟื้นคืนชีพให้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กลายเป็นหัวใจสำคัญของทีม 


         มันเลยกลายเป็นคำถามที่ว่าเทรนเนอร์หนุ่มจัดการกับผู้เล่นระดับท็อปยังไงถึงได้จับดองจนกลายเป็นผลพวงมาถึงทุกวันนี้ที่เจ้าตัวยังไม่ต่อสัญญาที่กำลังจะหมดหลังจบซีซั่นนี้

         หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงคือเรื่องของความ "เครียด" ที่บางคนมองว่า แลมพาร์ด จะต้องผ่อนคลายบ้าง แม้แต่ตัวเองก็ยอมรับตัวเองเป็นพวกคิดเยอะ

         อันที่จริงเจ้าตัวมีโอกาสที่จะได้คุม คริสตัล พาเลซ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์แล้ว แต่การพูดคุยกับทางบอร์ดบริหารของ "อีเกิ้ลส์" ไม่ดีนัก ทำให้สุดท้ายสโมสรหันไปหา ปาทริค วิเอร่า แทน


         ถึงกระนั้นงานที่ เชลซี ก็ต้องมอบเครดิตบางส่วนให้กับ แลมพาร์ด ด้วย โดยเฉพาะในปีแรกที่ต้องทำทีมทั้งที่ห้ามซื้อนักเตะซ้ำยังเสีย เอแด็น อาซาร์ ไปให้กับ เรอัล มาดริด การปั้นดาวรุ่งอย่าง เมสัน เมาท์ และ รีซ เจมส์ ขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมยิ่งต้องได้รับการปรบมือ

         ทั้งหมดทั้งมวลถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องบอกว่ามีคุณค่าเหลือล้นสำหรับ แลมพาร์ด ที่อยู่ทั้งแชมเปี้ยนชิพ และทีมระดับท็อปของประเทศ

         1 ปีถือเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควรกับการรักษาแผลใจ เขารู้สึกยังไม่พร้อมที่รับงานคุม บอร์นมัธ หนึ่งเดือนหลังจากแยกทางกับ เชลซี เช่นเดียวกับงานมที่ นอริช ซิตี้ ซึ่งเขาเองต้องการเวลาและกระตือรือร้นที่จะรอโอกาสเหมาะสม

         ตอนนี้วันนั้นมาถึงแล้ว หวังว่าจะผนึกประสบการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่ผ่านมาในการพา เอฟเวอร์ตัน ประสบความสำเร็จได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด